http://www.humanmetrics.com/cgi-win/jtypes2.asp
เวปนี้ก็มีคำถามเยอะหน่อยก็พยายามแปลกันนะคะอย่ามั่วเพราะไม่งั้นเสียเวลาเปล่าค่ะ
เวปนี้ก็มีคำถามเยอะหน่อยก็พยายามแปลกันนะคะอย่ามั่วเพราะไม่งั้นเสียเวลาเปล่าค่ะ
หลังจากทำ test แล้วก็จะได้ส่วนประกอบทั้ง 4 และคำอธิบายว่าลักษณะของเราเป็นอย่างไร
หลังจากที่ได้แล้วก็นำมาพิจารณาเพราะในความเป็นจริง ไม่มีใครที่จะเป็นสุดๆ ในแต่ละด้าน ดังนั้นถ้าได้รับการฝึกฝนพยายามปรับเพื่อให้เข้ากับการทำงาน ก็จะสามารถนำความเข้าใจตัวเองนี้ไปส่งเสริมการทำงานให้ดียิ่งขึ้น (เรื่องนี้ก็ทำให้หัวหน้าไม่ต้องคอยบอกคอยเตือนหรือหาเรื่องหักเงินเดือนเราอีกต่างหาก อิอิ)
บางทฤษฎี ก็จะแยกแยะผลของ Personality test เป็น 2 กลุ่มอีก (นอกเหนือจาก type ที่กล่าวไปแล้ว) คือ Natural VS Adapted ที่แบ่งเช่นนี้เพราะบางคนอยู่บ้านมักจะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา (Natural) แต่ถ้าที่ทำงานก็จะเป็นอีกแบบ (Adapted) ซึ่งในทฤษฎีนั้นกล่าวว่าถ้าหาก Natural และ Adapted นั้นต่างกันสุดขั้ว คนๆนั้นจะมีปัญหาการทำงานอย่างแรงเพราะมันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง และอาจจะเหมือนเด็กๆ ที่ตื่นตอนเช้ามาแล้วก็ร้องว่า " หนูไม่อยากไปทำงานเลย แม่จ๋า"
ซึ่งถ้าเกิดอาการนี้และไม่สามารถรับได้จริงๆ การหางานอื่นๆ ที่เราได้ใช้ตัวตนของเราหรือไกล้เคียงตัวตนเราก็จะทำให้มีความสุขขึ้นเยอะทีเดียว
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงทฤษฎีเดียวจากหลายๆทฤษฎีที่เค้าใช้ทำการวิเคราะห์ ดังนั้นเราสามารถใช้อากู๋ (Google) เพื่อการศึกษาหาทฤษฎีอื่นๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจของเราได้
สิ่งหนึ่งที่จะบอกว่าการรู้ตัวตนของเราและผู้อื่นนั้นควรคำนึงถึงศีลธรรมจรรยาบรรณ (Ethics) ในการใช้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ ควรใช้เพื่อส่งเสริมตัวเองและผู้อื่นให้เจริญในทางที่ควรจะเป็น มิใช่ส่งเสริมหรือกอบโกยเพื่อประโยชน์ตนโดยขาดซึ่งศีลธรรมจรรยาบรรณ ดังที่เคยประสบในการสัมภาษณ์คนๆหนึ่ง ที่คิดนำสิ่งนี้มาเพื่อสร้างประโยชน์ตน พอได้ฟังดังนั้นคนๆนี้ก็ตกสัมภาษณ์ทันทีเช่นกัน เพราะเรื่องของศีลธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างปกติสุข ถ้าหากเรานำคนแบบนี้เข้ามาก็ไม่รู้ว่าจะสร้างศัตรูอีกเท่าไหร่ (เว่อร์ไปป่ะ ๕๕๕)
ซึ่งถ้าเกิดอาการนี้และไม่สามารถรับได้จริงๆ การหางานอื่นๆ ที่เราได้ใช้ตัวตนของเราหรือไกล้เคียงตัวตนเราก็จะทำให้มีความสุขขึ้นเยอะทีเดียว
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงทฤษฎีเดียวจากหลายๆทฤษฎีที่เค้าใช้ทำการวิเคราะห์ ดังนั้นเราสามารถใช้อากู๋ (Google) เพื่อการศึกษาหาทฤษฎีอื่นๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจของเราได้
สิ่งหนึ่งที่จะบอกว่าการรู้ตัวตนของเราและผู้อื่นนั้นควรคำนึงถึงศีลธรรมจรรยาบรรณ (Ethics) ในการใช้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ ควรใช้เพื่อส่งเสริมตัวเองและผู้อื่นให้เจริญในทางที่ควรจะเป็น มิใช่ส่งเสริมหรือกอบโกยเพื่อประโยชน์ตนโดยขาดซึ่งศีลธรรมจรรยาบรรณ ดังที่เคยประสบในการสัมภาษณ์คนๆหนึ่ง ที่คิดนำสิ่งนี้มาเพื่อสร้างประโยชน์ตน พอได้ฟังดังนั้นคนๆนี้ก็ตกสัมภาษณ์ทันทีเช่นกัน เพราะเรื่องของศีลธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างปกติสุข ถ้าหากเรานำคนแบบนี้เข้ามาก็ไม่รู้ว่าจะสร้างศัตรูอีกเท่าไหร่ (เว่อร์ไปป่ะ ๕๕๕)
สรุปว่ารู้เค้ารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง จริงหรือไม่ลองถามตัวเองดูนะคะ ^____^